นายกรัฐมนตรี ประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดฯ 12 จังหวัด พื้นที่สีแดงเข้มเฝ้าระวังการระบาดข้ามจังหวัด
วันที่ 29 ก.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(ปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และจังหวัดชายแดนภาคใต้(จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลาและจังหวัดสงขลา ) ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ผ่านระบบ Zoom Meeting
สำหรับประเด็นข้อสั่งการในที่ประชุม เน้นย้ำให้แต่ละจังหวัดนำเสนอปัญหา อุปสรรคต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังการระบาดข้ามจังหวัด จะต้องมีระบบ Bubble and seal ในโรงงาน ที่พักโรงงาน การบริหารจัดการเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การบริหารจัดการผู้ป่วยโควิด-19 แบบ Home Isolation การสร้างความเข้าใจกับประชาชนในภาพรวมของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน การใช้ Antigen Test Kit ชุดตรวจเชื้อโควิด-19
พร้อมสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบคุณภาพของยาฟ้าทลายโจรที่วางจำหน่ายในท้องตลาด พร้อมกล่าวเพิ่มเติมอยากเห็นหมู่บ้านหรือชุมชนสีฟ้าในจังหวัดต่างๆ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ร่วมใจผนึกกำลังต้านโควิด-19 โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการฯแต่ละจังหวัดได้ไปดำเนินการต่อไป และคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นใน 4-6 สัปดาห์
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ทางรัฐบาลได้เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้เพียงพอกับประชาชนอย่างเร็วที่สุด ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความเข้มแข็ง พร้อมชื่นชมว่าขณะนี้ไม่ได้มีข้อขัดแย้งระหว่าง ศบค.กับ กระทรวงสาธารณสุขจังหวัด เชื่อมั่นการการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนโควิด-19 ได้ 10 ล้านโดส ต่อเดือน พร้อมขอความกรุณาไปยังผู้ว่าราชการฯแต่ละจังหวัด ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขแต่ละจังหวัด ได้ทำความเข้าใจว่าวัคซีนจะต้องกระจายไปจุดใดบ้าง เพื่อเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล ที่สำคัญผู้ที่ควรได้รับวัคซีนเร่งด่วน คือผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค เพื่อลดการครองเตียงในแต่ละโรงพยาบาลฯ
อ้างอิง : ไทยคู่ฟ้า , สำนักงานประชาสัมพันธ์