ลุงตู่เร่งเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิส เก็บภาษีโซเชียลมีเดียกว่า 3,000 ล้านบาท
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการเร่งเสนอร่างกฎหมายอี-เซอร์วิสหรือ ร่างกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เพื่อบังคับใช้เก็บภาษี VAT 7% กับทุกแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพลย์ สปอร์ติฟาย บุ๊กกิ้งดอทคอม อะโกด้า ลาซาด้า ช้อปปี้ เป็นต้น
ซึ่งขณะนี้กรมสรรพากร ตอบรับนโยบายรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากสภาฯ เห็นชอบต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลให้บริษัทดิจิทัลต่างประเทศที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย และมีรายได้ต่อปีจากค่าบริการตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษี ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า มูลค่าการเก็บภาษีจะอยู่ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญยังช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่แบกรับภาระภาษีแทนมาโดยตลอด
ใจความสำคัญของร่างกฎหมายนี้ระบุให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย และมีรายได้ต่อปีจากค่าบริการตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมายื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าว ตาม พ.ร.บ. อี-เซอร์วิส โดยประเมินเบื้องต้นว่า มีมูลค่าการให้บริการรวมอยู่ที่ปีละ 40,000 ล้านบาท และคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ 3,000 ล้านบาท ที่สำคัญ ยังจะสามารถช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการของไทยที่มีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ในปัจจุบัน
พ.ร.บ.อี-เซอร์วิส แบ่งธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ส่วน คือ
- ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือการค้าขายบนมาร์เกตเพลส อย่าง ลาซาด้า (Lazada) หรือช้อปปี้ (Shopee) โดยผลักดันให้ยกเลิกประกาศกรมศุลกากรที่ให้ยกเว้นการเก็บภาษี VAT สำหรับสินค้าต่างประเทศที่นำเข้ามาที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาทเสีย เพื่อให้สินค้านำเข้าที่ซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเสียภาษี VAT เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศไม่ให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบ
- ธุรกิจ อี-เซอร์วิสเป็นบริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัล แบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
- ธุรกิจที่มีรายได้จากค่าโฆษณา เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ที่ขายโฆษณาบนแพลตฟอร์ม โดยลูกค้าในไทยต้องชำระค่าโฆษณาผ่านการจ่ายบัตรเครดิตไปยังประเทศปลายทาง ทำให้ภาครัฐของไทยไม่สามารถเก็บภาษีใด ๆ ได้
- ธุรกิจเพลง-หนังบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลเพย์ (Apple Play) สปอร์ติฟาย (Spotify) ที่มีรายได้จากการสมัครสมาชิก
- ตัวกลางแบบ P2P ได้แก่ แกรบ (Grab) แอร์บีเอ็นบี (Airbnb)
- ตัวกลางที่เป็นเอเย่นต์จำหน่ายสินค้าและบริการ เช่น บุ๊กกิ้งดอทคอม (Booking.com) อะโกด้า (Agoda)
- อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม เช่น อเมซอน (Amazon) อีเบย์ (Ebay) โดยเป็นการเก็บ VAT จากรายได้จากการให้ใช้แพลตฟอร์มในการขาย
โดยรัฐบาลได้เน้นย้ำว่า การเก็บภาษีนี้ ไม่ใช่เก็บจากตัวสินค้า แต่เป็นการเก็บจากค่าบริการ และค่าโฆษณาผ่านแต่ละแพลตฟอร์ม หากกฎหมายฉบับนี้เริ่มบังคับใช้ได้จริงโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่า จะดีทั้งต่อการเพิ่มรายได้เข้าประเทศไทย ต่อประชาชนคนไทย และต่อผู้ประกอบการไทยนั่นเอง
อ้างอิง : ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี – PMOC