ชาวนาหมดห่วงสถานการณ์ข้าวของประเทศกับภัยโควิด-19
8 เมษายน 2563 (วานนี้) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษาณ์ว่าขณะนี้ราคาข้าวเปลือกในตลาดกระเตื้องขึ้นสูงเป็นลำดับ เพราะนอกจากจะเกิดจากมาตรการส่งเสริมให้ชาวนาเก็บสต๊อกข้าวไว้โดยได้รับเงินชดเชยแล้ว ราคาทางการในท้องตลาดที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสำหรับข้าวนาปรังขึ้นมาอยู่ที่ราคา 9,200 บาท-10,500 บาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 14,000-15,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมประทุม อยู่ที่ราคา 10,000-10,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวอยู่ที่ราคา 15,600 บาทถึง 17,500 บาทต่อตัน เป็นต้น
ในภาคใต้เรานั้น เป็นที่ข้าวกำลังเข้าฤดูเก็บเกี่ยว โดยอิงราคาดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ราคาตันละ 14,200 บาท ราคาสูงกว่าราคาเป้าหมาย ข้าวเปลือกเจ้าราคาตันละ 9,638 บาท ชดเชยส่วนต่างตันละ 361.84 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีราคาตันละ 10,903 บาท ชดเชยส่วนต่างตันละ 96.54 บาท ข้าวเปลือกเหนียวราคาตันละ 16,833 บาท ราคาสูงกว่าราคาเป้าหมาย ซึ่งงวดล่าสุดที่โอนคืองวดที่ 22 โอนเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563
“สำหรับข้าวในภาคใต้โดยการเพิ่มยอดการชดเชยการชะลอขายข้าวจาก 1,000,000 ตันเป็น 1,500,000 ตันโดยชดเชยให้เกษตรกรที่เก็บสต๊อกข้าว ตันละ 1,500 บาท ส่วนสถาบันการเกษตร หรือสหกรณ์ จะชดเชยให้ตันละ 1,000 บาทและชดเชยให้เกษตรกรที่เก็บข้าวไว้กับสหกรณ์ตันละ 500 บาทด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มวงเงินจากเดิม 10,000 ล้านบาทเป็น 15,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ”
นายจุรินทร์ ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เฝ้าติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายข้าวเปลือกได้ในราคาที่ดีที่สุด และขณะเดียวกันก็ต้องติดตามราคาข้าวสารถุงสำหรับบริโภคและตัวเลขการส่งออกข้าวควบคู่กันไปด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้สถานการณ์ข้าวของประเทศในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับภัยโควิด-19 อยู่ในขณะนี้เกิดความสมดุลที่สุด แต่หากราคาข้าวชนิดใดชนิดหนึ่งตกต่ำลงมา นโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ก็ยังคงอยู่ และสามารถช่วยชดเชยเงินส่วนต่างของรายได้ให้กับชาวนาต่อได้
อ้างอิง: แนวหน้าประเทศไทย
ทั้งนี้ท่านสามารถติดตามรายงานสถานการณ์โควิด-19 ได้ในแบบเรียลไทม์