ผู้ว่าฯ สงขลายกระดับความเข้มในการล็อกดาวน์ชุมชนบ้านหัวเลน หลังพบติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 285 ราย
วันที่ 2 ส.ค. 64 นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านหัวเลน หมู่ 6 ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามสถานการณ์และยกระดับความเข้มข้นในการล็อกดาวน์ชุมชนบ้านหัวเลน ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ 2,705 ราย 611 ครัวเรือน หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แล้วจำนวน 285 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย
คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่ออำเภอสิงหนคร มีมติในการปิดพื้นที่เข้า-ออกเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 จนถึงวันที่ 10 ส.ค. 64 เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค รวมถึงติดตามแนวทาง มาตรการการคัดกรอง คัดแยกผู้ป่วยติดเชื้อและกลุ่มเปราะบาง การบริหารจัดการด้านวัคซีน ระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ การสนับสนุนในเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม การเตรียมพร้อมสถานที่พักคอย หรือสถานที่ Local Quarantine ตลอดจนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 บริเวณหลังเทศบาลเมืองสิงหนคร เพื่อใช้รองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
ทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า เป้าหมายหลักในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เราทุกคนก็จะผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ แม้จะส่งผลกระทบในการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พร้อมทั้งให้สร้างความเข้าใจกับประชาชนในการปิดพื้นที่เป็นการชั่วคราว แต่ยังอนุญาตให้เปิดการค้าขายภายในชุมชนได้ตามปกติ ส่วนกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงยังสามารถทำกิจกรรมให้อาหารปลาได้ภายใต้ข้อกำหนด รวมถึงให้งดการรวมกลุ่ม หรือทำกิจกรรมต่างๆ และหากพบว่ามีประชาชนฝ่าฝืนตามข้อคำสั่งที่ทางจังหวัดและอำเภอได้ออกประกาศไว้จะมีการกล่าวตักเตือน แต่หากพบว่ายังกระทำความผิดซ้ำก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และคณะได้มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด เป็นข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ชุมชนบ้านหัวเลน เพื่อนำไปแจกจ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนระหว่างที่มีการล็อกดาวน์พื้นที่ 14 วัน พร้อมทั้งจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย
อ้างอิง : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา , ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา
Mon Aug 2 , 2021
ปรับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายมาตรการงดออกนอกเคหะสถานหลัง 21.00 – 04.00 น. เริ่ม 3 ส.ค. นี้ วันที่ 2 ส.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 11/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายระยะเวลาการใช้มาตรการตามข้อกำหนดฉบับ 28 งดออกนอกเคหะสถานหลัง 21.00 น.- 04.00 น. เริ่ม 3 สิงหาคมนี้ นายกรัฐมนตรี แจ้งในที่ประชุมทราบว่า ระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ซึ่งทั่วโลกมีทิศทางการแพร่ระบาดรุนแรงและเพิ่มมากขึ้น ศบค. จึงเร่งดำเนินการในขณะนี้ ทั้งการยกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรและปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด – 19 การใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ให้กำหนดมาตรการกำกับดูแลอย่างรัดกุมและกำหนดแนวทางการในการบริหารจัดการตรวจ Antigen Test Kit รวมทั้งกำชับให้บริหารจัดการระบบการรักษาพยาบาลทุกระบบให้มีประสิทธิภาพและให้มีการประสานงานโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน จัดทำระบบ HI และ CI เพิ่มเติม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน การยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคในสถานประกอบกิจการ ทั้งโรงงาน แคมป์แรงงาน บริษัท ในรูปแบบการป้องกันควบคุมโรคเฉพาะพื้นที่ หรือ Bubble and Seal โดยเฉพาะโรงงานใหญ่ๆ เพื่อชะลอกการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานให้มากที่สุด นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า วันพรุ่งนี้จะมีการรับมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่รัฐบาลต่างประเทศส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ประกอบด้วย รัฐบาลสหรัฐอเมริกา มอบวัคซีนไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) จำนวน 1,503,450 โดส ซึ่งมาถึงประเทศไทยแล้ว เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร จำนวน 415,040 โดส รัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสมอบอุปกรณ์ทางแพทย์ ได้แก่ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด – 19 แบบเร่งด่วน (Rapid Antigen Test) จำนวน 1,100,000 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 102 เครื่อง ซึ่งได้จัดส่งถึงไทยแล้ว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ของรัฐบาลญี่ปุ่นได้มอบจำนวน 1,053,090 โดส เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำหรับแผนการจัดหาและกระจายวัคซีนนั้น นายกรัฐมนตรียังยืนยันการจัดหาโควิด-19 ในเดือนสิงหาคม จำนวน 10 ล้านโดส ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม 7 โรคเสี่ยง โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้า กลุ่มโรงงานและกลุ่มประกันสังคมรวมทั้งคนต่างประเทศที่อยู่ประเทศไทย พร้อมทั้งได้เร่งให้มีการพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัคซีนสปุ๊กนิก ขณะเดียวกันก็สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศเร่งเจรจาจัดหาวัคซีน เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อป้องกันไวรัสที่กลายพันธ์ ขณะนี้ได้เร่งการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เชื่อว่าจะสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุได้ครอบคลุมร้อยละ 50 ภายในเดือนสิงหาคมนี้ อ้างอิง : ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine