สาธารณสุขเตือนชาวใต้ ระวังอาหารเป็นพิษจากลูกเนียง
จากการรายงานกรมคร. พยากรณ์โรคฯ ฉบับที่ 266 คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสจะพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทาน “ลูกเนียง” ได้ เนื่องจากในช่วงนี้ ของทุกปีเป็นฤดูกาลที่ต้นลูกเนียงเริ่มให้ผลผลิตและออกสู่ตลาด ทำให้ประชาชนานเราเก็บหรือซื้อมารับประทาน ซึ่งการรับประทานในปริมาณที่มากจะทำให้เกิดอาการป่วยจากอาหารเป็นพิษได้ โดย “ลูกเนียง” หรือ เมล็ดเนียง” ประชาชนภาคใต้บ้นิยมกินกับน้ำพรีกหรือแกงพุงปลา หรือนำมาต้มทำของหวาน ส่วนที่นำไปกินคือ เมล็ดข้างในเปลือก มีกลิ่นฉุน รสชาติมัน อร่อย กินได้ทั้งผลอ่อนและแก่
แน่นอนว่า ลูกเนียงมีสรรพคุณช่วยควบคุมเบาหวาน และขับปัสสาวะ แต่ในด้านความเป็นพิษพบว่ามีสารพิษที่เรียกว่า “กรดเจงโคลิค” เป็นกรดอะมิโนที่มีกรดทำมะทันสูงมาก สารพิษชนิดนี้จะทำลายระบบประสาทของไตให้เสื่อมลงหากอาการรุนแรงจะทำให้ไตล้มเหลวจนถึงเสียชีวิตได้
อาหารเป็นพิษจากลูกเนียงโดยทั่วไปพบได้น้อย โดยรายที่มีอาการพบว่ากินลูกเนียงดิบปริมาณมาก จากนั้น 2-14 ชั่วโมงต่อมา จะมีอาการทางไต ปวดบริเวณขาหนีบ ปัสสาวะลำบากและปวดปัสสาวะมาก น้ำปัสสาวะ ขุ่นขั้นเป็นสีน้ำนม และอาจปัสสาวะเป็นเลือด บางรายมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ในรายที่รุนแรงขึ้นอาจปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเรียกว่าเป็น “นิ่ว” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “มัด” และอาจเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองใน 3-4 วัน บางรายมีไข้ต่ำ ปัสสาวะน้อยและมีความดันโลหิต สูงได้
ทางกรมควบคุมโรค ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการกินพืชที่เข้าใจว่ากินได้ ซึ่งหากกินในปริมาณมากเกินไปหรือไม่ทำให้พิษในพืชน้อยลงหรือหมดไป อาจทำให้เป็นอันตรายได้ จึงควรสืบค้นหรือตามข้อมูลก่อน ส่วนวิธีการลดพิษในลูกเนียงให้น้อยลงคือ นำเมล็ดไปเพาะในทราย ให้มีหน่อต้นอ่อนงอกออกมา หรือนำเมล็ดไปต้มให้สุก หรือนั่นชิ้นมางๆ แล้วนำไปตากแดดก่อน และหากมีอาการสงสัยอาหารเป็นพิษจากลูกเนียง หรือ หลังกินพืชบางชนิดแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิ่งเวียน มึนงง ให้รีมไปพบแพทย์และบอกประวัติการกินอาหารที่สงสัยให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อให้การรักษาได้ถูกต้องและทันเวลา
หากท่านใดมีข้อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติม : กรมคร. พยากรณ์โรคฯ ฉบับที่ 266
ทั้งนี้ท่านสามารถติดตามรายงานสถานการณ์โควิด-19 ได้ในแบบเรียลไทม์