ประชาชนม่วงงามยกระดับการคัดค้านโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นหาดม่วงงาม จ.สงขลา
วันที่ 24 พ ค. ชายหาดม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลาชาวบ้าน ร้านครัวหมัยเอี้ยมเต็มไปด้วยป้ายคัดค้านการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมหาดม่วงงาม สิ่งที่ทำดั่งกล่าวเพียงเพราะเป็นภารกิจปกป้องชายหาดม่วงงาม
ด้านแกนนำเยาวชนในพื้นที่โต้ข้อมูลไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนกันคลื่นชายหาดม่วงงาม จ.สงขลา เพราะชายฝั่งไม่ได้ถูกกัดเซาะยกเว้นหน้ามรสุมเท่านั้นที่ชายฝั่งจะได้รับผลกระทบ
ในทางวิชาการ อาจารย์ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นักวิชาการด้านชายฝั่งทะเลที่เกาะติดเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในอนุกรรมการบูรณาการฯ ด้วย ยืนยันว่าเขาไม่เห็นกับการกำแพงกันคลื่น โดยมี 10 เหตุผลทำไม ชาวชายหาดม่วงงาม ไม่ต้องการเขื่อนกันคลื่น
• 1.โดยความเข้าใจพื้นฐานหรือสามัญสำนึกหาดทรายจะหายไปและกลับมาตามฤดูกาล ไม่ได้มีปัญหาการกัดเซาะ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างกำแพงกันคลื่น กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นจะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการกัดเซาะฐานรากจนลึกและจะพังในที่สุด
• 2. เมื่อสร้างกำแพงกันคลื่นซึ่งเป็นของแข็งไปสู้คลื่นจะรับแรงสะท้อนกลับเอาทรายออกไป กำแพงจึงเร่งการกัดเซาะชายฝั่งลึกลงไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้คลื่นมีพลังงานสูงมากขึ้น เพราะไม่มีทรายเป็นแรงเสียดทานตามหลักฟิสิกส์ และจะทำให้คลื่นยิ่งสูงกว่าเดิม 7 เท่าจากความสูงปกติ
• 3. การสร้างกำแพงทำให้พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกำแพง (ทั้งด้านซ้ายและขวา) ถูกกัดเซาะหนักกว่าเดิม และจะต้องมีโครงการมาซ่อมแซมไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
• 4. มักพูดกันว่าไม่มีวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องทรัพย์สินประชาชน หากราชการอ้างว่าไม่มีองค์ความรู้ก็ไม่ควรสร้างกำแพง แต่สามารถใช้วิธีการสร้างเขื่อนไม้ซึ่งเป็นวิธีการชั่วคราวและสามารถรื้อออกได้ แต่กำแพงเมื่อสร้างแล้วการจะรื้อทำได้ยากและสิ้นเปลืองงบประมาณ หรือไม่สามารถแก้ไขได้อีก แต่จะอยู่ไปชั่วนาตาปี แต่ราชการไม่ฟัง ไม่เชื่อ
• 5. มีตัวอย่างความเสียหายจากการสร้างกำแพงกันคลื่นเกิดขึ้นหลายพื้นที่ อาทิ ชายหาดปราณบุรี อ่าวน้อย ฯลฯ จึงไม่ต้องนำโมเดลอื่น ๆ มาอ้างว่าจะทำให้ชายฝั่งถูกกัดเซาะเป็น 100 เมตร เพราะไม่เป็นจริง เช่น กรณีการสร้างกำแพงที่หาดม่วงงามก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะไม่ได้มีการกัดเซาะตามที่อ้าง
• 6. คุณค่าของหาดทรายในเชิงระบบนิเวศหายไป เนื่องจากการหายไปของทรายทำให้หลายอย่างหายไปด้วย เช่น ปูลม จั๊กจั่น เต่าทะเล กุ้งเคย ฯลฯ กรณีกุ้งเคยเมื่อหายไปอาชีพชาวบ้านก็หายไปด้วย หรือกำแพงกันคลื่นที่ปราณบุรีสิ่งที่มาแทนที่คือสาหร่ายที่เขียวที่เหยียบแล้วลื่นมาก รวมถึงได้เพรียงและเปลือกหายนางรมมาแทนที่
• 7. คุณค่าความเป็นแหล่งท่องเที่ยวหายไป เพราะกำแพงได้ทำให้คุณค่าหาดทรายหายไป ชายหาดคอนกรีตที่บอกว่ามีความรู้สึกเป็นชุมชนเมืองนั้นเป็นภูมิทัศน์ที่นำมาหลอกลวงกันทั้งนั้น
• 8. สูญเสียงบประมาณของประเทศ มีการดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นไปแล้วทั้งหมด 74 โครงการ วงเงิน 6,900 ล้านบาท และในปัจจุบันใช้งบฯ ก่อสร้างในแต่ละพื้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากกองหิน 3 หมื่นกว่าบาท เพิ่มเป็นกิโลเมตรละ 200 ล้าน เช่น ที่หาดมหาราช กิโลเมตรละ 150 ล้านบาท อ่าวน้อยกิโลเมตรละ 110 ล้านบาท ขณะที่ปราณบุรีพังมาหลายรอบและใช้งบฯ ซ่อมแซมมาหลายรอบเช่นกัน
• 9. มีทางเลือกอีกหลายวิธีที่ไม่จำเป็นต้องสร้างกำแพงกันคลื่น โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2561 ได้เห็นชอบให้เลือกใช้มาตรการสีขาว สีเขียว สำหรับสีขาวคือให้ถอยร่น ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ให้สู้คลื่น หรือถ้ามีการกัดเซาะก็ให้กัดเซะอยู่แค่นั้น หากเป็นที่เอกชนให้เลือกใช้วิธีจ่ายค่าชดเชย หากเป็นพื้นที่ของรัฐก็ไม่มีปัญหาและไม่เคยมีที่ไหนกัดเซาะถึง 100 เมตร
• มาตรการสีเขียว คือการฟื้นฟูโครงสร้างทางธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลนหายไปก็เติมเข้าไป ป่าชายหาด เช่น ผักบุ้งทะเล หรือฟื้นฟูหาดทรายกลับมา อาทิ การเติมทราย โดยนำทรายที่ถูกพัดไปมาเติมจุดที่หายไป มติ ครม.ให้เลือกใช้ 2 มาตรการดังกล่าว
• แต่มีมาตรการสีเทาโผล่ออกมาด้วย คือเรื่องโครงสร้าง เช่น กองหิน ซึ่งมาตรการนี้นานาชาติกำหนดขึ้นและควรนำมาใช้เป็นมาตรการสุดท้าย แต่มาตรการสีเขียวที่ว่าจะต้องทำ EIA ต่างจากกำแพงกันคลื่นบ้านเราที่ไม่ต้องทำ EIA (ยกเลิกปี 2556) นั่นเท่ากับกำแพงกันคลื่นที่ถูกเลือกใช้เป็นมาตรการที่ร้ายแรงที่สุด
• 10. นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลและหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลทะเลบอกว่าไม่ควรก่อสร้างกำแพงกันคลื่น กับหน่วยอื่นที่ไม่รู้จักทะเล แต่ไปจ้างบริษัทที่ปรึกษามาสร้างมารับรองกันเองโดยไม่มีความรู้คนไทยควรจะเชื่อใคร
อ้างอิง : Beach for life