กรมทางหลวงเตรียมก่อสร้างโครงการทางแยกต่างระดับที่แยกคูหา จ.สงขลา
รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่า ได้รับงบประมาณปี 64 วงเงิน 950 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับที่แยกคูหา จ.สงขลา ซึ่งเป็นจุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 4(เพชรเกษม) กับทางหลวงหมายเลข 406 (สายปากจ่า–ตำมะลัง) อยู่ระหว่างจัดหาผู้รับจ้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ช่วงเดือน ก.ค. 64 ใช้เวลาสร้าง 900 วัน หรือประมาณ 2 ปี 6 เดือน แล้วเสร็จต้นปี 67

แนวคิดการออกแบบโครงการใช้พื้นที่เขตทางหลวงโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินสองข้างทางมากที่สุด เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยบริเวณทางแยกน้อยที่สุด จะไม่เวนคืนที่ดินเพิ่มเติม รวมทั้งแก้ไขปัญหาจราจรในแต่ละทิศทาง และลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางแยก แก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง ออกแบบระบบระบายน้ำอย่างเป็นระบบ

โดยกำหนดรูปแบบการก่อสร้างทางต่างระดับเป็นสะพานบนทางหลวงหมายเลข4 ข้ามทางหลวงหมายเลข406 พร้อมสี่แยกวงเวียนระดับพื้นใต้สะพาน ตัวสะพานมีความยาวรวม 750 เมตร ขนาด 6 ช่องจราจรไปกลับ กว้างช่องละ 3.5 เมตร ความสูงช่องลอดใต้สะพาน (Clearance) 5.5 เมตร พร้อมจุดกลับรถใต้สะพานทั้ง 2 ฝั่ง

บริเวณทางแยกออกแบบก่อสร้างทางเท้ากว้าง 4 เมตรทั้งสองฝั่ง มีท่อเหลี่ยมใต้ทางเท้าสำหรับระบายน้ำ ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง ปูผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก บนทล. 406 ช่วงบริเวณทางแยกระยะทางประมาณ 1.4 กม. จะปรับปรุงขยายเป็น 4 ช่องพร้อมทางเท้า จากเดิมมีขนาด 2 ช่อง เพื่อช่วยบรรเทาจราจรในทิศทางไป อ.ควนเนียง ขณะเดียวกันได้ออกแบบปรับปรุงทล. 4 บางช่วง ระยะทาง 3.1 กม. ให้ใช้พื้นที่เต็มเขตทางหลวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางให้คล่องตัวมากขึ้น
สำหรับวงเวียนระดับพื้นใต้สะพานมีลักษณะเป็นรูปวงรี 2 ช่อง กว้างช่องละ 5 เมตร ไม่มีการควบคุมสัญญาณไฟจราจร เพื่อทำให้ผู้ขับขี่บนทางหลวง 406 เดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบริเวณทางแยกเนื่องจากลักษณะทางกายภาพจะช่วยให้ผู้ขับขี่ชะลอความเร็วก่อนเข้าสู่วงเวียน

โครงการนี้เกิดขึ้น เนื่องจากสี่แยกคูหามีปริมาณจราจรหนาแน่น และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เพราะทางหลวงหมายเลข 4 เป็นแนวเส้นทางการขนส่งสินค้าหลักของภาคใต้ รถบรรทุกหนักผ่านทางแยกจำนวนมาก ปัจจุบันควบคุมการจราจรด้วยสัญญาณไฟทำให้เกิดปัญหารถติดสะสม การปรับปรุงเป็นทางแยกต่างระดับจะทำให้ปริมาณรถลื่นไหลและเดินทางคล่องตัวมากขึ้น
อ้างอิง : กรมทางหลวง