ศาลยุติธรรมรับฟ้องคดี บ.ทีพีไอฯ ออกเอกสารสิทธิโครงการนิคมฯ จะนะ ทับซ้อนที่ดินชาวบ้าน
เมื่อวานนี้ 1/2/64 เวลาประมาณช่วงบ่าย ชาวบ้านจากอำเภอจะนะจังหวัดสงขลา 5 ราย พร้อมทนายความจากเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ และนักศึกษาจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และประชาธิปไตย (Law Long Beach) ได้เดินทางไปศาลจังหวัดนาทวี เพื่อยื่นฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กับพวก เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3ก ออกทับที่ดินที่ทำกินมาก่อนการออกเอกสารสิทธิดังกล่าว
กรณีนี้ เกิดจากเมื่อประมาณกลางปีที่แล้วบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นเรื่องขอออกโฉนดที่ดินในที่ดินซึ่งถือเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3ก โดยในวันที่ 27 มิถุนายน 2563 ตัวแทนของบริษัทได้นำเจ้าหน้าที่เดินสำรวจ เพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อออกโฉนดแทน น.ส.3ก เมื่อไปถึงที่ดินซึ่งมีชาวบ้านครอบครองอยู่ มีชาวบ้านอย่างน้อย 5 ราย ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าพวกถือครองที่ดินดังกล่าวมาโดยตลอด บางรายถือครองต่อจากปู่มาสู่บิดาแล้วมาสู่ตน บางรายถือครองตกทอดจากผู้ครอบครองเดิมด้วยการซื้อขาย และแต่ละแปลงได้ถือครองมาก่อนปีหลายสิบปี
ต่อมา เมื่อประมาณวันที่ 9 ธันวาคม 2563 เจ้าพนักงานที่ดินได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้คัดค้านการขออกโฉนดที่ดินดังกล่าว ว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้เปรียบเทียบแล้วเห็นว่า บริษัทมีสิทธิดีกว่าเนื่องจากถือเอกสารสิทธิ หากไม่เห็นด้วยจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม กรณีขอให้ศาลพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ หรือต่อศาลปกครองกรณีเห็นว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน โดยต้องฟ้องภายใน 60 วัน นับแต่ได้รับหนังสือดังกล่าว มิฉะนั้นจะออกโฉนดที่ดินให้แก่บริษัท
กลุ่มชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจึงได้ปรึกษากับเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น และทีมทนายความจากเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ ซึ่งเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม 2564 จึงได้พากันไปตรวจสอบเอกสารต่างๆเพื่อเตรียมฟ้องคดี พบว่า ที่ดินตาม น.ส.3ก เลขที่ 437 ทับที่ดินของชาวบ้าน 2 ราย ที่ดินตาม น.ส.3ก เลขที่ 438 ทับที่ดินของชาวบ้าน 5 ราย และที่ดินตาม น.ส.3ก เลขที่ 439 ทับที่ดินของชาวบ้าน 2 ราย คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่เศษ โดยมีหนึ่งรายที่เอกสารสิทธิทั้งสามแปลงทับที่ดินทั้งสามแปลง และสองรายที่เอกสารสิทธิทับอยู่ 2 แปลง และอีกสองรายที่มีเอกสารสิทธิทับอยู่ 1 แปลง ที่ดินทั้งสามแปลงตามเอกสารดังกล่าว ออกเอกสาร น.ส.3ก เมื่อประมาณปีพ.ศ.2518 แล้วส่วนใหญ่ได้โอนขายเปลี่ยนมือในปีถัดมา แล้วท้ายที่สุดมีการขายให้แก่บริษัท TPI ในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2561 ทั้งสามแปลงซึ่งการออกเอกสารสิทธินี้ กลับไม่ได้มีหลักฐานใดๆก่อนการออกเอกสารสิทธิทั้งสิ้น คงเป็นเพียงการอ้างจากการเดินสำรวจเท่านั้น จากการตรวจสอบเอกสารพบว่า บริษัท TPI อ้างว่า หลังจากได้ซื้อที่ดินก็ได้ทำการปลูกกระถินเทพาเต็มพื้นที่ทุกแปลง แต่เมื่อมีการไปตรวจสอบพื้นที่จริง กลับพบว่า ที่ดินส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา พื้นที่ปลูกแตงโม สภาพเป็นดินปนทราย มีทรายมากกว่า ไม่มีต้นไม้ใหญ่หรือกระถินเทพาอยู่ในพื้นที่ดังที่บริษัทให้การไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ชาวบ้านซึ่งเป็นโจทก์ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวพวกตนได้ครอบครองทำประโยชน์สืบต่อเนื่องกันมาไม่ขาดสาย แต่ผู้ที่ไปออกเอกสารสิทธิ น.ส.3ก และบุคคลอื่นๆที่มีชื่อในสารบบเอกสาร ไม่เคยมีใครเข้ามาครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสิ้น จึงไม่ทราบได้เลยว่า เอกสารสิทธิดังกล่าวออกมาได้อย่างไร และส่วนใหญ่พื้นที่ดังกล่าวพวกตนจะมีการปลูกข้าวมาก่อน แล้วมาปลูกแตงโม อาจจะมีปลูกมะม่วงหิมพานต์ หรือมะพร้าว บางแปลงเท่านั้น แต่ไม่มีใครปลูกกระถินเทพาเป็นแปลงใหญ่ดังที่บริษัท TPI กล่าวอ้าง พวกตนจึงได้มาฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาพิสูจน์ความเป็นเจ้าของในที่ดิน โดยนอกจากนี้ จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองถึงกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในขั้นตอนการตรวจสอบที่มีของเอกสารสิทธิที่เจ้าพนักงานที่ดินยืนยันว่า บริษัท TPI มีสิทธิดีกว่าด้วย โดยพวกตนกับทนายความจะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสงขลา ในวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ นี้ ภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เพื่อจะได้นำคำฟ้องไปยื่นให้เจ้าพนักงานที่ดินชะลอการออกโฉนดที่ดินให้แก่บริษัท TPI ต่อไป
จากการตรวจสอบเอกสารในสารบบที่ดินและแผนที่สังเขปของที่ดินแล้ว ทนายเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนพบว่า มีข้อน่าสังเกตเนื่องจากรูปแผนที่ในระวางแผนที่และแผนที่ในเอกสารสิทธิ น.ส.3ก นั้น มีลักษณะที่ไม่เหมือนกันอยู่ในบางด้าน และไม่ตรงกับสภาพพื้นที่จริง ซึ่งจะต้องนำพิสูจน์กันในศาลต่อไป และพบว่า นอกจากทั้งสามแปลงดังกล่าวแล้ว ยังมีที่ดินอีกหลายแปลงที่มีชาวบ้านคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของบริษัท TPI ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ บางแปลงมีการอ้างว่ามีการออกทับที่สาธารณะด้วย ยังมีข้อสงสัยอีกว่าเหตุใดจึงมีผู้คัดค้านจำนวนมาก ซึ่งต้องตรวจสอบหาความจริงกันต่อไป
อ้างอิง : มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน